The brightness of the sun

1445454_72095275

คงไม่มีใครอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับความมืด เพราะไม่ว่าใครก็อยากจะใช้ชีวิตที่มีอนาคตที่สดใสกันทั้งนั้น แต่บางครั้งก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ความมืดมิดจะเข้ามาในชีวิตของเรา
อย่างไรก็ตาม… หากเราอยู่ในความมืดมิดแล้วรู้ว่า
วันพรุ่งนี้เราจะได้พบดวงอาทิตย์อีกครั้ง เราก็จะมีความหวัง
เพราะดวงอาทิตย์จะนำพาซึ่งแสงสว่าง ทำให้สิ่งต่างๆ ปรากฎชัดเจนยิ่งขึ้น
ทำให้เราหายจากความหวาดกลัว
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น… เราสามารถทำให้พระอาทิตย์ขึ้นในยามกลางคืนได้เช่นกัน
วิธีการนั้นก็คือ… การทำ “สมาธิ” หยุดใจนิ่งไว้ที่ศูนย์กลางของร่างกายเรา
จนกว่าจะเกิดแสงส่องสว่างขึ้นภายในใจเรา  และเมื่อใดที่
ดวงอาทิตย์เกิดขึ้นภายในใจของเรา
เราจะมีความสุขที่เปี่ยมล้น ยิ่งกว่าตอนที่ได้เห็นดวงอาทิตย์ของวันเสียอีก

Please scroll down for English

It can be said that no one prefers a life in darkness to a life with a bright future.

Sometimes it is unavoidable that darkness comes into our lives, however, we know that when tomorrow comes, all darkness will disappear.

With the presence of daylight, we will gain hope and courage.
The light of the day will make things appear more vividly to us,
so we are not frightened by what we cannot see.

We can make the sun rise at night as well.Just focus the mind at the center of our body until the light glows within.

When this inner sun rises at the center of our body, we will feel even happier than when we see the sun of the day.

 

“ความรัก” เมื่อไม่คาดหวัง… ก็ไม่ผิดหวัง

ไม่มีรักใดไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ..
ดังนั้น ..
เมื่อเรารักใคร . เราก็จะคาดหวังให้เขารักเราตอบในปริมาณที่เท่าๆกัน
โดยลืมไปว่า ..
ไม่มีเครื่องมือวัดชนิดไหนที่จะมาวัดปริมาณความรักได้
ดังนั้น .. จะบอกว่ารักเราไม่เท่ากันก็คงไม่ได้

คนแต่ละคนก็เติบโตมาสภาวะแวดล้อมที่ต่างกัน
อุปนิสัย การดำเนินชีวิต ความอดทน ความกดดัน ต่างกัน
คำว่ารักของคนๆ หนึ่ง
อาจไม่เท่ากับ .. คำว่ารักของอีกคนหนึ่ง

หรือพูดอีกอย่างนึงก็คือ
คำจำกัดความของคำว่ารักของคนเราล้วนต่างกัน

คนบางคน .. การได้เจอกันทุกวัน ได้คุยกันทุกวัน นั่นคือรัก
แต่คนบางคน การได้จับมือ เดินไปไหนมาไหนด้วยกันทุกๆที่ นั่นคือรัก
ในขณะที่คนบางคน .. มีแค่ความคิดถึง และความเชื่อใจกัน โดยที่ไม่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา นั่นคือรัก

is-kissing-important-to-a-relationship

เมื่อเราคาดหวัง .. แล้วมันไม่เป็นดังหวัง
ก็จะคิดไปเองว่า .. เขาไม่รัก
..
ซึ่งแท้จริงแล้ว .. อาจไม่ใช่
เขาอาจจะรัก แต่แสดงออกในแบบของเขาก็ได้

แต่ไม่ว่าจะรักแบบไหน
ล้วนเกิดจากพื้นฐานของความเข้าใจ เชื่อใจ และห่วงใย
ไม่อย่างนั้นคงเรียกว่ารักไม่ได้

เมื่อไหร่ที่ความเข้าใจกันหายไป
ก็จะพาลให้ความเชื่อใจ และห่วงใยหายไปด้วย
สิ่งหนึ่งที่ทำได้ .. คือการหันหน้าคุยกัน ด้วยคำพูดดีๆ ปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง

สิ่งสำคัญก็คือ
อย่าพูดว่ารัก แต่ใจไม่รัก เพราะการกระทำสุดท้ายแล้วก็จะบ่งบอกว่าเราไม่รัก
และอย่าคิดว่าแค่การแสดงออกก็เพียงพอในการรักใครซักคน ไม่ต้องพูดอะไรก็จะเข้าใจ

เพราะจิตใจคนเรานั้นอ่อนแอ …
คำพูด จะทำให้รู้สึกเชื่อมั่น ..
การกระทำ .. จะทำให้รู้สึกเชื่อใจ

หากเมื่อไหร่ที่สิ่งต่างๆไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง
หากการคุยกันดีๆแล้วไม่เป็นผล
มองหน้าเขาให้ดีๆ
แล้วถามใจตัวเองว่า..
คนๆนี้คือคนที่เรารักจริงๆมั้ย
ถ้าหากว่าคำตอบคือใช่ .. คำถามต่อไปก็คือ
เราทำใจ เข้าใจเขา และลดความคาดหวังลงได้มั้ย

Tips : คำแนะนำ.. สำหรับความรัก

– อย่าคาดหวังจากคนรักมากเกินไป อย่าหวังผลตอบแทน รักไม่ใช่การลงทุนทางการเงิน รักคือการให้เฉย ๆ ยิ่งคาดหวัง เมื่อผิดหวังยิ่งเจ็บปวด
– ความเมตตาเป็นยารักษาอกหักดีที่สุด
– ไม่ใช่ทุกคนมีโชคเรื่องความรัก ไม่ใช่ทุกคู่ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตคู่
– เรายังไม่ได้รักเขา หากเรายังรักตัวเองมากกว่า
– ศิลปะของการอยู่ด้วยกันคือการประคับประคอง ผ่อนหนักผ่อนเบา ปรับฝีก้าวให้เข้ากัน
– อดทน! เอาใจเขามาใส่ใจเรา
– คิดถึงคนที่รักก่อนคิดถึงตัวเอง
– ลบความคิดว่า เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ หรือชีวิตจะไม่มีความหมาย หากเราไม่มีคนรัก
– รักเป็นความรู้สึก จึงอยู่ในสัจธรรมของความเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นได้ก็ดับได้ และดับได้ก็เกิดขึ้นได้
– ใช้สติเป็นตัวนำทางรักเสมอ
– กติกาของความรักคือ สมหวัง : ผิดหวัง = 50 : 50 ยอมรับกติกา ยอมรับผลที่ออกมา ถ้าคนที่เรารักต้องการแยกทางไป ก็จงยินดีต่อเขาหรือเธอ
– การรักษาแผลใจ ยิ่งเข้าใจกติกาของรักมากเท่าไร ก็ยิ่งหายเร็วเท่านั้น
– บางครั้งห่าง ๆ กันไว้บ้าง จะทำให้รักมีค่ามากขึ้น
– ชีวิตคู่ไม่มีใบรับประกัน
– อย่ารีบร้อน ยิ่งรีบยิ่งยุ่ง
– อย่าตกลงไปกับใครเพียงเพราะกลัวตกรถไฟเที่ยวสุดท้าย ถ้าไม่พบคนที่ ‘ใช่’ ก็อย่าขึ้นรถไฟขบวนนั้น พลาดรถไฟดีกว่ารถไฟเกิดอุบัติเหตุ
– ความเบื่อเป็นส่วนหนึ่งของเกมรัก อย่าปล่อยให้ความเบื่อบั่นทอนรักโดยที่ไม่ทำอะไรเลย

..

ไม่ใช่เรื่องง่าย ในการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครซักคน
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารักใครซักคนนั้น
การเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
เพราะว่ารัก .. จึงอยากให้เขามีความสุขเมื่ออยู่ใกล้ๆเรา จึงอยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรๆให้มันดีขึ้น …

แต่ว่า..
ความรัก .. กับความชอบนั้นต่างกัน
เมื่อฝ่ายหนึ่งรัก . แต่อีกฝ่ายหนึ่งชอบ
ความคาดหวังที่ไม่ตรงกันก็จะตามมา .. และความวุ่นวายต่างๆก็จะตามมา

ดังนั้น ..ก่อนที่จะพูดคำว่ารัก
ถามใจตัวเองให้ดี ว่ารักจริงๆ .. หรือแค่ชอบ..
ก่อนที่จะมีใครบางคนต้องเจ็บปวด .. ด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆของคุณเอง

นอกจากนี้..
คนเรา .. ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมข้อดี และข้อเสีย
เมื่อเรารักใคร .. หากว่ามองเห็นแต่ด้านที่ดีของเขาละก็
ให้บอกกับตัวเองได้เลยว่า

เรายังไม่รู้จักเขาดีพอ …..หรือไม่ก็ ..
เรากำลังตาบอดเพราะความรัก

จงจำไว้เลยว่า ..
การที่คนเราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างยืดยาวนั้น
ต้องชื่นชมในข้อดี และเข้าใจในข้อเสียของกันและกัน

ในเส้นทางของชีวิต
ถ้าแค่เราคนเดียว .. จะเดิน จะวิ่ง เร็วเท่าไหร่ ช้าเท่าไหร่ จะล้มยังไง ก็คงไม่เป็นไร
เพราะมีแค่เราคนเดียวที่เจ็บ

แต่เมื่อวันใด .. ที่เราตัดสินใจจะเดินร่วมทางกับใครซักคน
ก็เหมือนกับการเดินสามขา
จะก้าวยังไง เดินเร็วเท่าไหร่ ก็ต้องก้าวไปด้วยกัน
เมื่อล้ม .. ก็จะไม่ใช่เราคนเดียวที่เจ็บ
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ปรับเปลี่ยนบางสิ่งเข้าหากัน
เพื่อหาจังหวะในการเดินที่พอดีของทั้งสองฝ่าย .. ไม่เร็วเกินไป ไม่ช้าเกินไป
เพื่อจะได้เดินไปด้วยกันได้
ไม่ว่าจะเจออุปสรรคแบบไหนก็ตาม …

บางครั้ง .. การเดินไปคนเดียว .. อาจมีความสุขกับอิสระของชีวิตที่เราเลือกเองได้
จะเดินไปไหนก็ได้ จะวิ่งก็ได้ เหนื่อยนักจะพักก็ได้
แต่คงจะดีกว่าไม่น้อย
ถ้ามีใครซักคนร่วมเดินคุยไปด้วยกันตามทางเดินชีวิตที่ยังไม่รู้จุดจบนี้
ร่วมหัวเราะไปด้วยกัน ช่วยเช็ดน้ำตาของกันและกัน
เสียงหัวเราะที่มีก็จะดังมากขึ้น…
น้ำตาที่ไหลมาก็จะเหือดแห้งเร็วขึ้น…

แล้วเราก็จะพบว่า
ชีวิตเรามีค่ามากขึ้น ..
เพราะตัวเราเองไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกนี้อีกต่อไป ..

 

Fate, Attraction or Serendipity ..

พรหมลิขิต,แรงดึงดูด หรือ ความบังเอิญ..

เราไม่เคยเชื่อ เรื่องการที่คนเรามาเจอกัน
เราไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมลิขิต  เพียงเพราะเค้าบอกว่า “เราทุกคนถูกกำหนดไว้แล้ว”

เราคิดเคยคิดเสมอว่ามันก็แค่เรื่องบังเอิญ ที่ทำให้เรามาเจอกัน ด้วยหน้าที่การงาน การเดินทางการเปลี่ยนแปลงที่เราต่างเลือกเองว่าเราต้องการให้ชีวิตไปทางไหน 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ เราได้เจอคนคนหนึ่ง เราอ่านโปรไฟล์ที่เค้าเขียน แล้วเราก็พูดขึ้นมาว่า

โอ้มายก็อด! ฉันตกหลุมรักเขาจากตัวหนังสือ จากสิ่งที่เขาเขียน ฮีคูลมาก ฮีควรเป็นแฟนฉัน แล้วก็ไม่ลังเลที่จะเริ่มบทสนทนาก่อนเลย

และนี่คือบางส่วนที่เขาเขียนไว้

I believe in the concept of “soulmates” and I truly believe that there is someone out there for everyone.

We are all meant for happiness, somehow and someway. It is up to us to find the “right” person. Life is short and our search for the “right” person should ne sincere and straight from the heart.

soul2

Cr. Andy

หลังจากเริ่มคุยกันสักพัก หลังจากนั้นไม่นานเราก็ได้เจอกันจริงๆ

แล้วฮีก็ไนซ์มาก ฮีทรีทเราดีมาก ๆ แล้วเรา 2 คนก็เข้ากันได้ดีมากในระยะเวลาที่รวดเร็วมาก ๆ คำพูดของเขาทำให้ฉันเคลิ้ม จนไม่สนใจเรื่องรูปร่างหน้าตาเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

พอวันถัดมาเขาก็บอกความรู้สึกทุกอย่างที่มีต่อเรา และเราเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจริงๆ เราเชื่อว่า Everything happens for a reason.

ข้อความที่อันดี้ส่งมา บอกว่า ในโลกใบนี้มีคน 7.5 พันล้านคน และมี 7ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ผมโชคดีมากที่ชีวิตของผมได้มาพบเจอกับคุณ

พอมานั่งคิด ก็จริงอย่างที่อันดี้พูด โลกเรามีคนเป็นพันล้านคน 
ทำไมเราต้องมาอยู่ตรงนี้? ทำไมเราต้องมาเจอคนกลุ่มนี้?

ทำไมมาเจอคนที่เหมือนหรือคล้ายกับเรา? ทำไมเราต้องมาเจอกัน ?

หรือเป็นเพราะพรหมลิขิต หรือ แรงดึงดูด ที่ดึงดูดให้เราสองคนมาเจอกัน?

“I do believe in fate and destiny but I also believe we are only fated to do the things that we’d choose anyway. We don’t meet people by accident, we are all meant to cross our path for a reason….”

Natcha 

แต่..
แต่ถ้าวันนึงเราไม่ใช่คู่กันจริงๆ  เราก็ยังรู้สึกโชคดีที่ได้เจอกัน อย่างน้อยเราก็รู้ว่าคนนั้นมีอยู่จริง

ถึงพรหมลิขิต, แรงดึงดูด หรือ ความบังเอิญ.. ขอบคุณที่เหวี่ยงให้เราได้มาเจอกันนะ 🙂

 

Ambivert คนที่มีบุคลิกก้ำกึ่งระหว่าง Introvert กับ Extrovert

ตามที่ณัฏฐ์ได้กล่าวถึง บุคลิกของ Introvert คือกลุ่มคนที่ชอบเก็บตัว และ Extrovert คือกลุ่มคนที่เปิดเผย และชอบเข้าสังคมไปในโพสต์ก่อนหน้านี้แล้วนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ลักษณะของ Introvert  และ Extrovert นั้น ไม่สามารถจะแยกกันได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งแท้จริงแล้ว บุคลิกทั้ง 2 ด้านนี้ล้วนอยู่บนสเปกตรัมเดียวกัน ถึงแม้จะอยู่กันคนละขั้วก็ตาม และในระหว่างขั้วสุดต่างทั้ง 2 ก็จะมีสิ่งที่อยู่ตรงกลาง

AMBIVERT

Ambivert อาจเป็นกลุมคนที่เป็นส่วนผสมความสมดุลระหว่างทั้ง 2 ขั้วที่ต่างกันมากๆ โดยมีลักษณะก้ำกึ่งระหว่าง Introvert และ Extrovert เป็น บุคคลที่พูดพอควร เดินสายกลาง มีชิวิตที่เรียบง่าย อยู่คนเดียวก็มีความสุข คบหากับคนทั่วไปได้ดี หรือเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ 2 บุคลิก

ที่มักจะมีทักษะหลากหลายด้าน และสามารถเข้ากันได้ดีกับคนหลากหลายประเภท ในบางครั้งเขาอาจจะมีลักษณะที่โน้มเอียงไปในทาง Introvert บางครั้งมีแนวโน้มเอียงไปในทาง Extrovert ได้

หากแต่ดีกรีของความเป็น Introvert และ Extrovert ก็จะมากน้อยต่างกันไป ซึ่งจะสามารถแปรเปลี่ยนความเปิดเผยไปได้ในแต่ละสถานการณ์

ดังนั้น ambivert สามารถเข้าใจคนอื่นได้อย่างง่ายดายเพราะตัวเขาเองสลับกันอยู่ในขั้นตอนต่างๆเมื่อเทียบกับเยาวชน นอกเหนือจากการทำความเข้าใจในตัวเองว่าผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมในคุณภาพของความสัมพันธ์แล้วพวกเขายังสามารถปรับพฤติกรรมของตนเองให้ตรงกับสายชั้นนำของบุคคลอื่นได้อีกด้วย นี่เป็นคุณภาพที่มีคุณค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่สามารถตอบสนองต่อวิธีต่างๆได้

Ambivert จะไม่ลากเพื่อนสนิทคนหนึ่งเข้าร่วม Hangout กับคนแปลกหน้าหลายร้อยคน แต่ขอเสนอเดินร่วมกันผ่านสวนที่ถูกทอดทิ้ง ในทำนองเดียวกันเขายินดีที่จะสนับสนุนความคิดริเริ่มใหม่ ๆ ที่ต้องใช้งาน PR และรายชื่อผู้ติดต่อหลายรายในเครือข่ายโซเชียล

เนื่องจากความเป็นเอกลักษณ์และความแปรปรวนนั้นการเชื่อมต่อทางสังคมของสถานที่ต่างๆไม่เพียง แต่มีความกว้างมากเท่านั้น แต่ยังมีคุณภาพด้วย ความคุ้นเคยใด ๆ ไม่ได้เป็นแบบผิวเผินเพราะนอกเหนือไปจากความสามารถในการชอบคนอย่างรวดเร็วแล้วคนประเภทนี้มักจะเข้าใจลักษณะและความต้องการของมนุษย์อย่างละเอียดซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความปรารถนาซึ่งกันและกันถ้าไม่เป็นเพื่อนแล้วก็รักษาติดต่อกันได้อย่างอบอุ่นและยั่งยืน

โอกาสสำหรับกิจกรรมที่หลากหลายกำลังขยายตัวซึ่งจะช่วยให้บรรลุความสูงใหม่และการเติบโตของอาชีพที่รวดเร็ว ธรรมชาติการแช่ในกิจกรรมการวิจัยอาจต้องขาดชั่วคราวในชีวิตทางสังคม แต่แล้วบุคคลจะกลับมาพร้อมกับผลลัพธ์ที่ได้รับและนำเสนอสีสันและส่งเสริมให้เกิดขึ้นในสังคม สิ่งที่น่าสนใจที่สุดโดยไม่คำนึงถึงเขตข้อมูลของกิจกรรมจำนวนคนในทีม ambivert จะไม่เพียง แต่รู้สึกดี แต่มักจะทำหน้าที่ในลักษณะที่มีคุณภาพสูง ความสามารถในการปรับตัวสูงและความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่นี่เป็นข้อได้เปรียบที่ชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากขาดการเลือกสถานที่หรือขอบเขตการทำงาน

ตามทฤษฎีบุคลิกภาพของคาร์ล จุง

คาร์ลจุง (Carl Jung) นักจิตวิทยาชาวสวิสได้ศึกษาและพัฒนาทฤษฎีจิตวิทยาแบบวิเคราะห์ เชื่อว่า จิตใต้สำนึกจะทำหน้าที่บันทึกความทรงจำ แรงกระตุ้นทั้งหลายเอาไว้และทำหน้าที่ถ่ายทอดสิ่งที่จิตใต้สำนึกเก็บสะสมไว้ เช่น เรื่องราวในอดีตที่น่าตื่นเต้นของมนุษย์ แบ่งบุคลิกภาพของมนุษย์ เป็น 3 ประเภท (Introvert, Extrovert, Ambivert)

ถ้าใครสักคน มักจะชอบมีเวลาส่วนตัว และเขาก็มักจะใช้เวลานั้นสำหรับการฝึกสมาธิ ออกกำลังกาย หรือทำงาน ในบางโอกาส เมื่อเขาได้ออกไปพบปะเพื่อนฝูง เขาก็อาจจะนั่งเงียบๆ เพื่อคอยสังเกตลักษณะท่าทางต่างๆของผู้คนโดยรอบ และในบางครั้งเมื่อเขาออกไปทำธุระข้างนอก เขาก็มักจะหลีกเลี่ยงผู้คนที่เขารู้จัก เพราะขี้เกียจที่จะต้องเข้าไปทักทายพูดคุยในเรื่องสัพเพเหระต่างๆเพราะมันเสียเวลา แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่มีสังคมหรือเพื่อนฝูง เพราะเขามักจะแสดงท่าทีเป็นมิตรต่อผู้คนที่เขาพบเจออยู่เสมอ มักจะชวนผู้คนต่างๆพูดคุย และสร้างเพื่อนใหม่ในทุกๆที่ที่เขาไป ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านกาแฟ ยิม หรือระหว่างรอขึ้นเครื่องในสนามบิน และตามงานเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆ ก็มักจะเป็นเขานี่แหละ ที่เป็นคนที่ร่วมกิจกรรมและอาสาเป็นผู้นำในเกมส์ต่างๆ

maxresdefault.jpg

รู้อย่างนี้แล้ว คุณจะเรียกว่าเขาเหล่านั้น เป็นคนแบบไหนกัน?

คนเก็บตัว (Introvert) ?

หรือคนเปิดเผย (Extrovert) ?

หรือ เป็นลูกผสมของทั้งสองอย่าง (Ambivert)

นักวิจัยทางด้านบุคลิกภาพและพฤติกรรมศาสตร์ก็เริ่มหันมาให้ความสนใจคนกลุ่มนี้มากขึ้น ด้วยเชื่อว่าเพราะความสามารถในการปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ อาจมีข้อได้เปรียบมากกว่าคนทั่วไปที่แสดงถึงความเป็นคนสุดโต่งด้านใดด้านหนึ่งอย่างชัดเจน

ศาสตราจารย์กรานต์จากโรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ก็ได้ลงความเห็นว่า คนกลุ่มนี้มีความสามารถพิเศษในด้านการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ และมักจะมีทักษะเฉพาะที่จะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในด้านการใช้ชีวิต รวมถึงการใช้ชีวิตคู่ได้ดี ในทางกลับกัน ศจ.กรานต์ กล่าวว่า ข้อเสียของ Ambivert อาจจะอยู่ตรงที่ บางที ด้วยความไม่แน่ใจในคนเองว่าเป็นคนที่รักสันโดษหรือรักสังคม

Ambivert อาจจะสับสนได้ว่าอะไรคือสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยกระตุ้นให้พวกเขาทำงานได้ดี และทางออกที่ดีที่สุดอาจเป็นการปล่อยสิ่งต่างๆไปตามสถานการณ์ แทนที่จะคิดมากจนเกินไปกับเรื่องการแสดงออกทางด้าน Introvert หรือ Extrovert

ถ้าคุณคิดว่าคุณเป็น Ambivert แล้วละก็ จงปล่อยตัวไปตามสายลม แล้วทำในสิ่งที่คุณมีความสุขที่สุดในแต่ละสถานการณ์ และสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน  และ คุณก็จะเป็น Ambivert ที่สามารถเดินสายกลางได้อย่างสง่างาม มีความสุข กับทุกสถานการณ์ และ สภาพแวดล้อมรอบตัวคุณ

 

Ref : http://afterword.co/intro-extro-ambivert/

Introvert คนที่มีบุคลิกเก็บตัวและมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง

เคยไหม!!? คุณพบว่าการพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ ที่เรียกกันว่า “Small talk” นี่มันเหนื่อยชะมัด ยิ่งถ้าจะต้องไปพบปะสังสรรค์กับคนที่ไม่รู้จักมาก่อนล่ะก็ ยิ่งไม่อยากไปเอาเสียเลย ถ้ามีใครชวนไปปาร์ตี้ คุณก็อาจจะไปอยู่ในงานได้แป๊บหนึ่ง แล้วสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมงต่อมา ในขณะที่เพื่อนๆ สนุกกันอยู่ คุณก็ไม่สนุกเสียและอยากกลับบ้านเสียแล้ว คุณอยากกลับไปสู่ในพื้นที่ส่วนตัว (Private zone) ในห้องของคุณ, พื้นที่ที่คุณรู้สึกปลอดภัย นอนนิ่งๆ ดูซีรีส์เรื่องโปรดหรืออ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้มากกว่า

คุณชอบพิมพ์มากกว่าชอบเจอหน้า แต่ถ้าเจอหน้าแล้วได้คุยยาวๆ คุยลึกๆ คุณก็ชอบเหมือนกัน

คุณมีบทสนทนากับตนเองบ่อยๆ และบางครั้ง ก็ทบทวนตัวเองครั้งละนานๆ

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องพรีเซนต์งานต่อหน้าคนจำนวนมากๆ – ไม่ใช่ว่าคุณจะทำไม่ได้นะ คุณทำได้แหละ – แต่หลังจากที่พรีเซนต์งานเสร็จ ก็ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของคุณจะหายไปไหนไม่รู้ และคุณต้องใช้เวลา ‘ชาร์จ’ พลังงานให้กลับมาใหม่ด้วยการอยู่คนเดียวนิ่งๆ สักพัก

ถ้าคุณเป็นทั้งหมดที่ว่ามา – คุณก็อาจเป็น Introverts!

i

โลกนี้มีมากกว่า Introvert กับ Extrovert

อันที่จริงแล้วการแบ่งคนเป็นประเภทๆ นั้นถึงแม้ในปัจจุบันอาจถูกมองว่าเป็นการทำให้โลกที่ความจริงแล้วซับซ้อน ลดรูปลงจนง่ายดายเกินไป แต่การแบ่งคนแบบนี้ ก็ยังมีประโยชน์ในการทำให้เราเข้าใจแนวคิดเบื้องต้น ก่อนที่เราจะยอมรับความซับซ้อนของโลก และเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงโมเดลพื้นฐานในภายหลัง

แนวคิดเรื่องการแบ่งคนเป็น Introvert กับ Extrovert นั้นสามารถสืบสาวไปได้ถึงนักจิตวิทยาชื่อดังอย่างคาร์ล จุง โดยง่ายที่สุด เราอาจแยก Introvert เป็นคนที่มักถูกมองว่ารักษาเนื้อรักษาตัว (Reserved – ไม่ใช่เก็บตัวนะครับ, แต่เป็นคนที่ค่อนข้างระวังคำพูดคำจา) และนิ่งลึก (Reflective) ในขณะที่ Extroverts มักถูกมองว่าพูดเก่ง (talkative) ชอบปฏิสัมพันธ์ และมีกระตือรือร้น (enthusiastic) กว่า

introvertvsextrovert.jpg

การแบ่งคนสองประเภทนี้มักถูกโยงไปถึง ‘การชาร์จพลังงาน​‘ โดยอธิบายว่า Introvert นั้นจะ ‘ชาร์จพลังงาน’ ได้จากการอยู่คนเดียว การทำกิจกรรมเงียบๆ อย่างเช่นการอ่านหนังสือ การเขียน การตกปลา เดินป่า ฯลฯ (พูดง่ายๆ คือ ถ้าทำกิจกรรมพวกนี้แล้วพวกเขาจะมีพลังงานไปทำอย่างอื่นมากขึ้น) ในขณะที่ Extrovert จะชาร์จพลังงานได้จากการทำกิจกรรมกับคนอื่น การปาร์ตี้ สังสรรค์ ฯลฯ

เดิมที Introvert-Extrovert นั้นถูกมองว่าแยกขาดออกจากกัน คุณจะต้องเป็น Introverts หรือ Extrovert อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่หลังๆ มา เริ่มมีการมองที่ซับซ้อนกว่านั้น โดยมองว่า Introvert-Extrovert นั้นเป็นเหมือนสเปกตรัม คุณอาจมีความเป็น Introvert มากกว่า Extrovert  (แต่ไม่ได้แปลว่าคุณเป็น Introvert โดยสมบูรณ์เสมอไป) ในการแบ่งแบบนี้จะเรียกคนที่อยู่กลางๆ สเปกตรัมว่า Ambivert คือคนที่มีคุณลักษณะของทั้ง Introvert และ Extrovert ผสานกัน

scale.png

ความแตกต่างของ Introvert และ Extrovert นั้นมีผู้อธิบายว่าจริงๆ แล้วเป็นความแตกต่างในระดับสมองเลยทีเดียว คำอธิบายหนึ่งบอกว่า Introvert กับ Extrovert มีระดับการตอบสนองต่อ Dopamine และ Acetylcholine (สารเคมีที่มักถูกเชื่อมโยงกับความสุข) ที่แตกต่างกัน เขาบอกว่า Introvert นั้น ‘ชอบ’ Acetylcholine มากกว่า Dopamine และ Acetylcholine นั้นจะทำให้เรารู้สึกดีเมื่อเราค้นหาความสุขจากภายใน (Turn Inward) ส่วน Dopamine นั้นทำให้เราค้นหาความสุขจากภายนอก (เช่นได้เงิน, ไต่ระดับความสำเร็จทางสังคม หรือเมื่อมีคนที่เราชื่นชอบมาสนใจเรา)

6-Illustrations

นอกจากการแบ่งที่ซับซ้อนขึ้นเป็นสเปกตรัมแล้ว ในปัจจุบันยังมีคำอื่นๆ ที่ชวนงงงวยขึ้นอีก อย่างเช่นคำว่า Extroverted Introvert ซึ่งมีคนนิยามว่าเป็น Introvert ที่สามารถ ‘เปิดโหมด’ Extrovert ได้ แต่ก็ใช้ได้อย่างจำกัด คือสามารถปาร์ตี้ได้นะ แต่ก่อนออกไปปาร์ตี้ต้อง ‘ทำใจ’ หรือ ‘เตรียมใจ’ ก่อน แล้วพอเปิดโหมดแล้ว พอหมดพลังงานเมื่อไหร่ก็พร้อมที่จะหนีกลับบ้านได้ทันที เป็นต้น

นอกจากนั้น ยังมีความพยายามในการแบ่ง Introvert ออกเป็นลักษณะย่อยๆ  โดย Jonathan Cheek นักจิตวิทยาจากวิทยาลัย Wellesley เสนอการแบ่ง Introvert ออกเป็นสี่ลักษณะซึ่งไม่แยกขาดออกจากกัน (อินโทรเวิร์ตจะมีส่วนผสมของสี่ลักษณะนี้มากน้อยแตกต่างกัน) จากการสำรวจผู้ใหญ่ 500 คน

4 ลักษณะ (หรือให้เข้าใจง่ายคือ ‘มาตรวัด’) นี้คือ

Social – Introvert จะไม่ชอบเข้างานสังคมที่มีคนมากๆ แต่จะชอบเข้าสังคมกับกลุ่มเพื่อนขนาดเล็ก หรืออยู่คนเดียว

Thinking –  Introvert ที่มีมาตรด้านนี้สูงจะชอบดำดิ่งกับความคิดของตนเอง Cheek เปรียบเทียบโดยใช้ตัวละครจากแฮร์รี่ พอตเตอร์ว่า “เขาจะมีความเป็นลูน่าร์ เลิฟกู้ด มากกว่าเนวิลล์ ลองบัตท่อม”

Anxious – Introvert ที่มีลักษณะนี้สูงจะคิดเรื่องเดิมวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมักจะระมัดระวังการวางตัว (self conscious) มากๆ เวลาอยู่กับคนอื่น

และ Restrained – Introvert ที่มีลักษณะนี้สูงจะคิดก่อนทำหรือพูด และจะค่อยๆ ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยการถือครองสติ

โมเดลการแบ่ง Introvert ของ Cheek ที่เรียกว่า STAR (มาจากตัวย่อของสี่ลักษณะ) นี้ ทำให้เราเห็นภาพของ Introvert ว่าไม่ได้มีเพียงแบบเดียว แต่ในตัว Introvert เองก็มีลักษณะที่หลากหลายแตกต่างกัน คนหนึ่งอาจเป็น Introvert ที่เก็บตัวและคิดวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่อีกคนอาจมีลักษณะชอบฝันฟุ้งและชอบพูดคุยกับกลุ่มเพื่อนขนาดเล็กมากกว่าก็ได้

โลกที่คนหมั่นไส้ Introvert

ความสนใจเรื่อง Introvert ในต่างประเภทนั้นพุ่งสูงขึ้นหลังจากหนังสือชื่อ Quiet : The Power of Introverts in a World That Can’t Stop Talking และ TED Talk ของ Susan Cain เป็นกระแสในปี 2005 หลังจากนั้นก็มีบล็อก, คอร์สเรียน, การสัมมนาอบรม, หนังสือ และสื่อเกี่ยวกับ Introvert ออกมาเต็มไปหมด จนหลายคนอาจนึกรำคาญ

มีคนเข้าใจผิดบ้างว่า Introvert เป็นโรค ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ (ทำให้สงสัยด้วยว่า ทำไมถึงเข้าใจอย่างนั้นกันนะ) Introvert เป็นเพียงลักษณะของคนแบบหนึ่งเท่านั้น บางคนก็เชื่อมโยงการเป็น Introvert กับโรคซึมเศร้า ซึ่งถึงแม้จะมีรายงานว่าคนที่เป็น Introvert อาจมีความเสี่ยงจากการเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่า Extrovert (เพราะพวกเขาอาจไม่ชอบเชื่อมโยงกับสังคมนัก) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็น Introvert จะเป็นโรคซึมเศร้า หรือคนที่เป็นโรคซึมเศร้าจะต้องเป็น Introvert เสียหน่อย

นอกจากนั้น ยังมีคนเหน็บแนมอยู่บ้างว่า Introvert นั้นถึงแม้จะเป็น Introvert ก็ยังสามารถเขียนบรรยายความรู้สึกนึกคิดวิเคราะห์ตัวเองได้เป็นหน้าๆ (เหมือนกับว่า เขามีอคติว่า Introvert ไม่ควรจะ ‘กล้าแสดงออก’ ขนาดที่จะบรรยายตัวเองได้ขนาดนี้สิ) จริงๆ แล้ว การบรรยายความรู้สึกนึกคิด และการจมดิ่งกับความคิดของตัวเอง (Reflective) นั้นเป็นลักษณะของ Introvert โดยทั่วไปอยู่แล้ว และการสื่อสารออกมาด้วยการเขียนก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา และอันที่จริงแล้ว การบรรยายความรู้สึกนึกคิดของตน (โดยเฉพาะ เมื่อไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน) ก็ควรจะเป็นสิทธิที่ใครก็ตามพึงทำได้อยู่แล้ว

ความหมั่นไส้เหล่านี้อาจเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็น Introvert นั้น ‘ดูรู้จักตัวเองดีซะเหลือเกิน’ ‘ดูบูชาความจริงแท้เสียเหลือเกิน’ ‘ดูคิดว่าตัวเองลุ่มลึกเหลือเกิน’ หรือไม่ก็เป็นกระแสต้านกลับอย่างเป็นธรรมชาติ ที่ว่าเมื่อมีอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งถูกพูดถึงมากๆ ก็ย่อมต้องมีคนเห็นค้านออกมาทวงคืนพื้นที่เป็นเรื่องธรรมดา

woman_reading

อันที่จริงแล้ว ณัฏฐ์คิดว่าการแบ่งคนว่าเป็น Introvert หรือ Extrovert นั้น เป็นไปเพื่อให้แต่ละคนเข้าใจสภาพของตนเอง เหล่า Introvert ไม่ได้พูดว่าตัวเองเป็น Introvert เพื่อทวงสิทธิ์ หรือเพื่อเรียกร้องความเข้าใจจากคนอื่นนัก เมื่อเข้าใจว่าตนเองชอบหรือไม่ชอบอะไร ได้รับพลังงานหรือถูกดึงพลังงานจากสถานการณ์แบบไหนแล้ว พวกเขาก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีศักยภาพและมีความสุขได้มากกว่าเดิม

พวกเราไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็น Introvert เพื่อขอให้คนอื่นที่ไม่ได้เป็นมาเข้าใจ แต่พวกเราบอกว่าตัวเองเป็น Introvert เผื่อว่าคนที่เป็นเหมือนกัน จะได้รู้สึกไม่โดดเดี่ยว, เข้าใจเรา, และเราจะได้เข้าใจเขาด้วย ต่างหาก

ปล. คนเขียนเคยเป็น Introvert นะคะ แต่อัพสกิลมาเป็น Ambivert เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา และการที่บอกว่า เป็น Introvert มันเหนื่อย ก็ไม่ได้แปลว่าเป็นอย่างอื่นไม่เหนื่อย อย่างเช่นก็มีงานวิจัยในปี 2016 ที่บอกว่า ‘หลังจากที่พบปะสังสรรค์กับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น Introvert หรือ Extrovert ก็ต้องกลับมาชาร์จพลังกับตัวเองทั้งนั้น’ ความต่างก็คือ ในช่วงที่สังสรรค์ พวก Extrovert จะรู้สึกเหนื่อยน้อยกว่า Introvert เท่านั้นเอง แต่งานวิจัยนี้ก็ยังจำกัดอยู่ คือเป็นการสำรวจนักศึกษาในฟินแลนด์แค่ 48 คนเป็นเวลา 12 วันเท่านั้นเอง

 

 

Ref. 

TED: The Power of Introverts

Make Room, Introverts—Everyone Needs Time to Recharge

 

 

Extrovert คนที่ชอบเข้าสังคมและปาร์ตี้เป็นชีวิตจิตใจ

สำหรับคนประเภท Extrovert นั้น พวกเขา คือ พวกขาปาร์ตี้ เฮฮา มนุษยสัมพันธ์ดี เปิดเผย เข้าได้กับทุกคน ดูน่าคบหา คนกลุ่มนี้จะเพิ่มพลังงานของตัวเองจากการอยู่กับคนหมู่มาก ซึ่งตรงกันข้ามกับ Introvert โดยสิ้นเชิง เพราะ Introvert ชื่นชอบ และจะเพิ่มพลังงานของตัวเองได้จากการอยู่คนเดียว แต่กลับกัน ชาว Extrovert จะรู้สึกโดดเดี่ยว และเบื่อหน่าย ถ้าจะต้องอยู่คนเดียว เพราะพวกเขารู้สึกดีมากกว่า ถ้ามีเพื่อนเยอะๆ หรืออยู่ท่ามกลางคนหมู่มากนั่นเอง

ชาว Extrovert ชื่นชอบการเป็นจุดสนใจท่ามกลางผู้คน ต้องการการยอมรับจากสังคม ชอบแสดงออกด้วยการพูดมากกว่าการเขียน เลือกที่จะไปปาร์ตี้ มากกว่าที่จะนอนอ่านหนังสืออยู่บ้าน ด้วยเหตุนี้ ทำให้พวกเขาค่อนข้างแคร์ ชื่อเสียง ความมั่งมี และสถานะในสังคมจะเป็นเรื่องสำคัญมาก สำหรับคนกลุ่มนี้

พวกเขาไม่รู้สึกอึดอัด หรือแปลกอะไร กับการที่ต้องสนทนากับคนแปลกหน้า นอกจากนี้ พวกเขาสามารถพูดคุยเรื่องราว เม้ามอย Gossip Star ต่างๆ ได้แทบจะทุกเรื่อง นอกจากนี้ยังปรับตัวได้เก่งในทุกๆ สถานการณ์ ชอบเรื่องท้าทาย และความเสี่ยง

ชาว Extrovert ด้วยความทีเป็นมิตร และชอบเข้าหาผู้คน ทำให้รู้จักผู้คนมากมาย หลากหลายประเภท จึงทำให้เป็นคนกว้างขวาง มีความรู้รอบตัวเยอะ รู้ว่าการเข้าหาคนแบบนี้ต้องทำตัวยังไง มีความมั่นใจสูง นอกจากนี้ พวกเขายัง เป็นพวกกระตือรือร้น ช่างพูดช่างเจรจา สามารถต่อรองเรื่องต่างๆ ได้ดี

ด้วยเหตุนี้เอง คนประเภท Extrovert มีแนวโน้มที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากกว่า ชาว Introvert เพราะสามารถเข้าก็เพื่อนร่วมงานได้ง่ายกว่า เอาใจเจ้านายได้ดีกว่า และมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยเหลือมากมายเพราะรู้จักคนเยอะ  ที่สำคัญ พวกเขามีทักษะการเป็นผู้นำสูง ทำงานเป็นกลุ่มได้ดี ด้วยความโดดเด่นของ Extrovert ทำให้พวกเค้ามีหน้ามีตาในสังคม และได้รับการยอมรับมากกว่า

G

แต่ คน Extrovert ก็มีข้อเสียที่เป็นพวกพูดไม่คิด ทำให้เจอเรื่องเดือดร้อน เพราะปากพาจนอยู่เสมอ และทำให้ดูเป็นคนที่ไม่ใส่ใจผู้อื่น นอกจากนี้ พวกเขายังไม่สามารถแยกแยะเรื่องราวความคิดต่างๆ ที่แล่นเข้ามาในหัวออกจากกันได้ เพราะชอบใช้เวลาอยู่กับคนอื่น และรับข้อมูลจากคนโน้นคนนี้มามากเกินไป ทำให้จิตใจสับสนวุ่นวาย ลังเล และไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของตัวเองได้

ที่ควรระวังที่สุด คือการมีเพื่อนของ ชาว Extrovert แม้ว่าพวกเขาจะมีเพื่อนเยอะก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีเพื่อนที่ดีเยอะตามไปด้วย เมื่อมีเพื่อนมาก ก็อาจจะไม่มีเวลาทำความรู้จักอย่างจริงจัง ทำให้กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างตื้นเขิน ดูไม่จริงใจต่อกันเท่าไหร่ และด้วยความที่ ชาว Extrovert ได้รับความสนใจจากคนรอบข้างมาเสมอ บางคนก็มักจะสำคัญตัวเองผิด คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลไปเลยก็มี ดังนั้นต้องระวังในส่วนนี้ให้มากๆ

สำหรับการทำงานของ ชาว Extrovert พวกเขาสามารถทำงานคล่องแคล่ว ชอบงานที่จบง่ายและเร็ว ถนัดในพวกงานที่ต้องติดต่อสื่อสารกับผู้คนมากมาย หรือทำงานเป็นกลุ่ม ไม่เหมาะกับงานที่ต้องอยู่คนเดียว อยู่กับที่นานๆ หรือต้องใช้ความคิดที่ซับซ้อนซักเท่าไหร่

อาชีพที่เหมาะสมกับ Extrovert จึงมักจะเป็นงานที่พบเกิดผู้คน
– เช่น งานด้านการขาย Sale, PR – การตลาด, พนักงานต้อนรับ, พยาบาล, แอร์โฮสเตส, customer services, ตำรวจ, พนักงานฝ่ายบุคคล, ดารานักแสดง ฯลฯ
– นอกจากนี้ ยังมีผลสำรวจออกมาว่า คนในโลกนี้ส่วนใหญ่คือ Extrovert ประมาณ 75% ส่วน อีก 25% คือ Introvert ดังนั้น การอาศัยอยู่ร่วมกัน จึงต้องการความเข้าใจซึ่งกันและกัน จึงจะทำให้ ชาว Extrovert สามารถคบหากับ ชาว Introvert ได้อย่างไม่มีปัญหา

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนประเภท Introvert หรือ Extrovert แต่ด้วยโลกยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนไปเร็วจนตามแทบไม่ทัน ก็เป็นอีกตัวที่กำหนดค่าการใช้ชีวิต จนทำให้ไลฟ์สไตล์ของหลายๆ คนต้องเปลี่ยนตามเพื่อตอบรับกับกระแสสังคม

รักกันมาก แต่…. รักกันไม่ได้

ความรักที่เจ็บปวดที่สุด คือ รักกันมาก แต่รักกันไม่ได้

คงมีหลายคู่บนโลกใบนี้ ที่การจบลงของความรัก มีสาเหตุมาจากการที่คนสองคนรักกันไม่ได้

อาจเป็นเพราะโลกใบนี้ มันมีอะไรมากกว่าคำว่า “ความรัก” เช่น ปัจจัยต่างๆ ที่สร้างคนคนนึงขึ้นมา ความเหมาะสม ระยะทาง หรือเวลา ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุอะไรที่ทำให้คนสองคนมาเจอกัน แต่… รักกันไม่ได้ มันก็ล้วนแต่เจ็บปวดทั้งนั้น

มันไม่ใช่ความผิดของเขา มันไม่ใช่ความผิดของเรา แต่อาจจะเป็นความผิดของอะไรบางอย่างที่ทำให้เราได้มาเจอกัน  มอบความรู้สึกดีดีให้กัน แต่สุดท้าย… มันก็ต้องจบลงในที่สุด

Single woman alone swinging on the beach

ความรักที่เจ็บปวดที่สุด คือ รักกันมาก แต่รักกันไม่ได้ 

บางที “ความรัก” อย่างเดียว อาจจะยังไม่พอ…….

ความรักของบุคลิกภาพ MBTI 16 แบบ แบบไหนที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด (MBTI Love Matches)

11.jpg

คนที่มีองค์ประกอบของบุคลิกแตกต่างกัน ย่อมมาจากความคิด ทัศนคติที่แตกต่างกัน และนั่นคือสาเหตุที่เราเข้ากับคนบางคนได้เป็นอย่างดี นั่นเพราะอาจมีบุคลิกภาพอย่างที่เข้ากันได้ดี กับบางคนก็เข้ากันพอได้ หรือบางคนก็เข้ากันได้ยาก ด้านล่างนี้จะเป็นเรื่องราวความรัก และ ความสัมพันธ์ของบุคลิกแต่ละแบบ ลองมาดูกันเลยค่ะ

ISTJ

1 สำหรับ ISTJ แล้ว ความรักคือหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ คุณจะเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อคุณลั่นวาจาว่าคุณจะแต่งงาน คุณจะปฏิบัติตามคำพูด และหวังว่าคู่รักจะตอบสนองในลักษณะเดียวกัน ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์คุณจะเริ่มไม่เข้ารูปเข้ารอย คุณจะคำนึงถึงหน้าตาก่อน และทำตามสิ่งที่สังคมยอมรับ
 1คุณเป็นคนที่มีเหตุผล ช่างวิเคราะห์ สามารถชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของคนอื่นได้โดยง่าย เมื่อความสัมพันธ์ของคุณกับคนที่คุณรักเริ่มระหองระแหงคุณอาจยังไม่แสดงให้คนรักคุณรู้ แต่หากว่าความสัมพันธ์นั้นมีทีท่าว่าจะไปไม่รอดคุณก็สามารถบอกลาความรักนั้นได้ เพราะคุณได้วิเคราะห์สาเหตุไว้เรียบร้อยแล้ว
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ESTJ, ISTJ, INTJ, ISTP, ESTP 
22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ENTJ, INTP, ENFJ, INFJ, ISFJ, ISFP, ENTP
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ESFJ, ESFP, ENFP, INFP 

ESTJ

1 ในเรื่องความรัก คุณหาเพื่อนคู่ใจที่ให้อิสระกับคุณ โดยเฉพาะคนที่ปล่อยให้คุณได้ทำงานอดิเรกที่คุณสนใจ หรือไม่ก็ทำงานอดิเรกนั้นไปด้วยกันเลย คุณให้ความสนใจกับรายละเอียดที่เพื่อนคู่ใจของคุณชอบ และชอบทำให้ตื่นเต้นด้วยของขวัญ คุณชอบแสดงความรู้สึกด้วยการกระทำมากกว่าคำพูด
1 เมื่อคุณผิดหวังในความรัก คุณจะเก็บมันไว้คนเดียว คุณจะไม่ยอมล้มเลิกความสัมพันธ์โดยง่าย จนกว่าคุณจะยอมจำนนด้วยหลักฐาน แต่เมื่อความสัมพันธ์สิ้นสุดลง คุณก็จะไม่ผูกใจเจ็บ
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ESTJ, ISTJ, ENTJ, ESTP
22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ESFJ, ISFP, INTJ, ISFJ
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ISTP, ESFP, ENTP, INTP, ENFJ, INFJ, ENFP, INFP

ESTP

 

 1คุณค่อนข้างตรงไปตรงมาในการคบใคร คุณมีนิสัยสนุกสนาน และมีกลยุทธ์การตื๊อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ชนะใจคนที่คุณชอบ 
 1คุณชื่นชอบคนที่ท้าทายชีวิต คุณไม่ชอบงานหรือความสัมพันธ์ที่จำเจมีแต่เรื่องเดิมๆ เพราะมันทำให้คุณรู้สึกว่าถูกขัง ดังนั้นคู่รักที่เหมาะ สำหรับคุณคือคนที่คุณทำอะไรสนุกๆด้วยกันได้ และเป็นคนที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยได้ 
 222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ISTJ, ESTP, ISTP, ESFP
 22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ESTJ, ISFP, ENTJ, ENTP, INTP, ISFJ
 2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ESFJ, INTJ, ENFJ, INFJ, ENFP, INFP

ESTJ

1สำหรับคุณ ความรักหมายถึงความมั่นคง เวลาที่คุณรักใคร คุณค่อนข้างจะปล่อยตัวตามสบาย ทำอะไรตามอารมณ์ คุณคาดหวังความมั่นคงและความซื่อสัตย์ในความสัมพันธ์ที่คุณมี ด้วยความมีเหตุมีผลของคุณ ทำให้คุณเข้าใจว่าความสัมพันธ์ต้องมีขึ้นมีลง คุณจึงปล่อยให้อะไรเป็นไปตามที่มันควรเป็น 
1คุณไม่ชอบให้ใครรู้ว่าคุณเจ็บปวดหรือเสียใจ เวลาคุณถูกปฏิเสธ คุณจะรู้สึกเจ็บและเสียใจมาก แต่จะไม่ระบายอารมณ์ให้ใครรับรู้
 222  บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ISTJ, ESFJ, ISFJ, ENTJ, INTJ, ISTP
 22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ENTP, INTP, ESTP, ESFP, ISFP
 2บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ESTJ, ENFJ, INFJ, INFP, ENFP

ISFJ

1คุณเป็นคนช่างประนีประนอม ไม่ชอบการทะเลาะวิวาท มีเพื่อนสนิทไม่มากนัก แต่เป็นเพื่อนแท้ที่รู้จักและพึ่งพากันมานาน 
1ในด้านความรัก คุณจะเสาะหาเพื่อนรู้ใจเพื่อมาเติมชีวิตคุณให้เต็ม คุณเป็นคนรักใครแล้วรักมาก และสำหรับคุณ ครอบครัวมาก่อนอย่างอื่น คุณชอบที่จะอยู่กับครอบครัวเหนือสิ่งอื่นใด 
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ISFJ, ENFJ, ESTJ
22  บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ESFJ, ESTP, ISFP, INFJ, INFP, ESFP, ISTJ, ISFP
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ENTJ, INTJ, ENTP, INTP, ENFP 

ISFP

1หากชอบใครแล้ว คุณจะซื่อสัตย์ในความรัก คุณจะทุ่มเทให้ทุกอย่าง ทั้งกายและใจ นอกจากนี้คุณยังเป็นคนที่โรแมนติก คอยหมั่นดูแลความสัมพันธ์ให้สดชื่นและสดใสอยู่เสมอ 
1หากถูกปฎิเสธ คุณจะวิเคราะห์หาเหตุผลเงียบๆ คนเดียว จนกว่าจะทำใจได้คุณถึงจะกลับมาสนุกสนาน เฮฮาได้อีกครั้ง 
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ESFP, ISFP
22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ESTP, ESTJ, ESFJ, ISTP, ENFJ, INFJ, INFP, ISFJ, ISTJ, ENFP
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ENTJ, INTJ, ENTP, INTP 

ESFP

1คุณจะเริ่มหรือเลิกความสัมพันธ์กับใคร ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้สึกสบายใจหรือไม่ คุณจะรู้สึกอึดอัดถ้าถูกกีดกัน คุณชอบบรรยากาศที่สนุกสนาน และชอบแบ่งปันความรู้สึกอย่างนี้ให้กับคนที่คุณรักด้วย 
1คุณมักทุ่มเทหยิบยื่นความรักและสิ่งของให้คนที่คุณรักอย่างเหลือล้น แต่เมื่อเลิกรา คุณก็สามารถลืมมันได้อย่างรวดเร็วและหันมาสนุกสนานกับเพื่อนฝูงแทน
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ESTP, ISFP
22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ESTJ, ESFJ, ISFJ, ESFP, ENTP, ENFJ, INFJ, ENFP, INFP
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ISTJ, ISTP, ENTJ, INTJ, INTP

ESFJ

1สำหรับคุณความรักคือความอบอุ่นและความจริงใจที่จะผูกพัน และคุณมักจะแสดงให้คู่รักคุณทราบด้วยวิธีต่างๆเช่น ด้วยการ์ด ดอกไม้ และอื่นๆ ถ้าคุณตกลงปลงใจกับใครแล้ว คุณจะคบไปจนตลอดถึงแม้ว่าคุณจะอึดอัดก็ตาม คุณมักจะเต็มที่กับความรัก จนบางทีก็ทำให้คุณผิดหวังว่าคนอื่นไม่เต็มที่เหมือนคุณ คุณซื่อตรงต่อความสัมพันธ์ สถาบันครอบครัว และชีวิตคู่ครองมากกว่าตัวบุคคล 
1เวลาคุณอกหักหรือเสียใจจากความรัก คุณจะเสียใจมาก ซึมเศร้า และคุณจะต้องใช้เวลาในการเยียวยารักษาตัวเอง ในขณะเดียวกันคุณสามารถทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจได้เหมือนกัน ถ้าคุณต้องการจะทำ
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ESTJ, ENFP
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ISFJ, ESFJ, ENFJ, INFP, ISFP, ISTP, ESFP
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ESTP, ENTJ, INTJ, ENTP, INTP, INFJ, ISTJ

INFJ

1คุณจะคบคนพิเศษและรักเขาคนเดียวมากกว่าที่จะไปคบคนหลายๆคนอย่างผิวเผิน เมื่อคุณพบกันคนที่เหมาะกับคุณ คุณจะไม่รีรอที่จะทำความรู้จักและแสดงความจริงใจกับเขา ถึงแม้ว่าคุณจะต้องบอกเลิกความสัมพันธ์อื่นๆไป  คุณชอบที่จะนัดพบในที่ที่คุณมีความหลัง เช่น สถานที่แรกที่คุณพบกันหรือทำอะไรที่มีความหมายด้วยกัน เพื่อทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น

1คุณอาจจะมีอุดมการณ์ความรักว่าควรเป็นอย่างไร และอาจทำให้คุณผิดหวังหากพบว่ามันไม่เป็นไปอย่างที่คิด คุณอยากจะรักและถูกรัก จนบางครั้ง คุณอาจคบใครเพียงเพื่อให้มีใครแคร์คุณ แม้ว่าคนๆ นั้นจะไม่เหมาะกับคุณ เวลาที่ผิดหวังคุณอาจจะถึงขั้นฟุ้งซ่านและคิดว่าคุณทำอะไรผิดไป ที่ทำให้ความสัมพันธ์นี้ล้มเหลว คุณจะโทษตัวเอง จนบางครั้ง ถึงขนาดต้องมีช่วงเวลาทำใจ
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ENTP, ENFP, INFJ, INFP, ENFJ
22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ISFJ, ESFP, ISFP, ENTJ, INTJ, INTP, ISTJ
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ESTJ, ESFJ, ESTP, ISTP

INFP

1ความรักเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณ คุณคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้ความรักมา และเป็นเรื่องยากสำหรับคุณในการที่จะบอกความรู้สึกของคุณให้คนอื่นฟัง คุณอาจจะอธิบายความรู้สึกมากมายหลายอย่างให้คู่รักของคุณฟัง และพยายามอธิบายว่าทำไมคุณถึงลืมบอกรักกับเค้า !
1นัดครั้งแรกจะถูกจัดเตรียมไว้อย่างดีและคุณจะเตรียมพร้อมให้มั่นใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ถูกที่ถูกทาง คุณมักมีความรักในอุดมคติ แต่หากเขาหรือเธอไม่ตรงกับความรักในอุดมคติของคุณ คุณก็อาจผิดหวัง ถ้าคุณอกหัก คุณจะจำฝังใจ แต่คุณก็จะไม่บอกกับใครๆมากนัก
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ENFP, INFP, ENFJ, INFJ
22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ISFJ, ESFJ, ESFP, ISFP, ENTP, INTP
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ESTJ, ISTJ, ESTP, ISTP, ENTJ, INTJ

ENFP

1คุณเป็นคนมีเสน่ห์ เต็มไปด้วยพลัง คุณปฎิบัติต่อคนอื่นด้วยความเข้าใจ อ่อนโยน และอบอุ่น
1เวลาคุณมีความรัก คุณจะศึกษาอีกฝ่ายอย่างละเอียด และคุณก็มักจะคิดว่าคนที่คุณรักนั้นดีที่สุดเสมอ เวลาคุณรักใคร คุณจะตกหลุมรักรวดเร็ว และรักอย่างมากมาย
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : INFJ, INFP, ENFJ, ENFP, ESFJ
22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ENTJ, ENTP, INTJ, INTP,ESFP, ISFP
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ISTJ, ESTJ, ISTP, ESTP, ISFJ

ENFJ

1คุณเป็นคนสง่า มีเสน่ห์ รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ ในเรื่องของความรัก เวลาที่รักใคร คุณจะรักอย่างเต็มหัวใจ และมีความรักในอุดมคติ
1แต่ระวังหากต้องถึงเวลาเลิก คุณก็จะผิดหวังมากเพราะคุณมีความคาดหวังว่าความรักนั้นต้องสมบูรณ์แบบ
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ISFJ, ENFJ, ENTJ, INFJ, ENFP, INFP
22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ESFJ, ESFP, ISFP, INTP, ISTJ, ENTP
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ESTJ, ESTP, ISTP, INTJ

INTJ

1คุณมีแนวโน้มที่จะเลือกคู่ครองที่เป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวา และคุณมักเก็บความรักของคุณเป็นความลับ ไม่แม้แต่จะบอกคนในครอบครัวของคุณ และคุณสามารถมีความรู้สึกรุนแรงหรือทำตัวเป็นเจ้าบุญทุ่มถ้าของขวัญนั้นเหมาะสมกับความรักในอุดมคติของคุณ  
1เมื่อคุณถูกปฏิเสธ คุณจะหลบหนีไปอยู่ในโลกของคุณเอง และไม่แพร่งพรายความรู้สึกเจ็บปวดของคุณให้ใครได้รู้ ถ้าคุณเป็นฝ่ายบอกเลิก คุณจะรู้วิธีที่จะจบความสัมพันธ์ของคุณ
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ESTJ, INTJ, ISTP, ENTJ
22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : INTP, INFJ, INFP, ENFP
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ESFJ, ISFJ, ESTP, ESFP, ISFP, ENTP, INFP, ENFJ

INTP

1สำหรับคุณ ความรักมี 3 ช่วงที่แตกต่างกันชัดเจน : ตกหลุมรัก ยังรัก และ เลิกรัก สำหรับคุณ การตกหลุมรักคือการสูญเสียเหตุและผล และคุณมักจะตกหลุมรักอย่างแรงเสียด้วย ช่วง “ยังรัก” เป็นช่วงที่คุณเริ่มประเมินความสัมพันธ์ของคุณ ณ จุดนี้ คุณอาจจะถอนตัวก็ได้ เพราะคุณเริ่มกลับมาสนใจตัวเองตามธรรมชาติของคุณ ความหลงรักเคลิบเคลิ้มเริ่มเปลี่ยนไป สุดท้าย ช่วง “เลิกรัก” (ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเสมอไป) เกิดจากวิเคราะห์ความคาดหวังและความจำเป็นของความสัมพันธ์ของคุณ บ่อยครั้งที่มีเส้นแบ่งที่คุณและคู่ของคุณไม่รู้ก่อนล่วงหน้า 
1อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณหยุดความสัมพันธ์ คุณก็จะยังคงความเป็นเพื่อนต่อไปได้  
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ENTP, INTP, INTJ
22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ESTJ, ISTJ, ESTP, ENTJ, ENFJ, INFJ, ENFP, INFP
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ESFJ, ISFJ, ISTP, ESFP, ISFP

ENTP

1คุณจะตกหลุมรักกับคนที่คุณรู้สึกว่าลงตัว เจอกันครั้งแรก คุณก็มักจะรู้แล้วว่ามีโอกาสหรือไม่ คุณไม่ชอบผูกมัดตัวเองกับใครจนกว่าจะเจอคนที่ใช่ เพราะฉะนั้น คุณมักจะไม่ได้คู่ครองได้เร็วนัก 
1คุณไม่ต้องการเสียอะไรก็ตามที่คุณได้ลงแรงไป เรียกได้ว่า เกิดมาเพื่อเป็น นักเก็งกำไร ก็ว่าได้ 
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ENTP, INTP, INFJ
22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ESTJ, ISTJ, ESTP, ESFP, ENTJ, ENFP, INFP, ENFJ
2 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ESFJ, ISFJ, ISTP, ISFP, INTJ

ENTJ

1สำหรับคุณ ความรักก็ต้องมีเหตุมีผล และมันต้องลงตัวกับวิถีชีวิตของคุณ คุณมักจะชอบคนหล่อ สวย รวยเสน่ห์ เพราะว่าสำหรับคุณแล้ว การได้แฟนหน้าตาดีเป็นสิ่งที่ท้าทาย คุณจะเป็นคู่ครองที่ขยันทำงานมาก เพราะคุณเชื่อว่าการทำงานหนักเพื่อครอบครัวจะแสดงถึงความรักของคุณ คุณคาดหวังให้คนรักเอาใจใส่ดูแลคุณ แต่ขณะเดียวกันคุณก็ต้องการมีชีวิตส่วนตัว
1ถ้าสถานการณ์ไม่เป็นแบบนี้ คุณก็มองว่ามันไม่มีเหตุผลอะไรแล้วที่จะอยู่ด้วยกัน และคุณก็จะเลิกกับเขา
222 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ดีที่สุด : ESTJ, ISTP, ENTJ, ENFJ, INTJ
22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้ : ISTJ, ESTP, ENTP, INTP, INFJ, ENFP
22 บุคลิกภาพแบบที่น่าจะเข้ากับคุณได้น้อยที่สุด : ESFJ, ISFJ, ESFP, ISFP, INFP 

 

MBTI: มาดูกันว่าคุณรู้จักตัวคุณเองดีขนาดไหน?

มารู้จักตัวเองให้มากขึ้นผ่าน แบบทดสอบ MBTI (Myers Briggs Type Indicator) กันดีกว่า

แนวคิดนี้เริ่มมาจาก คาร์ล กุสตาฟ จุง ซึ่งมีความเชื่อว่าพฤติกรรมทางด้านบุคลิกภาพของมนุษย์เราเกิดจากสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดมากกว่าที่จะเกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งได้มีระบุไว้ในงานเขียนของเขา Psychological Types, 1920 ซึ่งต่อมาแฟนพันธ์แท้ของจุง หรือแม่ลูก Myers และ Briggs ก็ได้นำมาศึกษาต่อ และทำให้เราได้เห็นลักษณะเด่นของพฤติกรรมที่ถูกแบ่งออกมาได้ทั้งหมด 4 คู่ ในแต่ละคู่จะถูกแบ่งเป็น 2 หัวข้อที่อธิบายถึงการเบี่ยงเบนของพฤติกรรมของคนเราดังภาพ

สำหรับอักษรคู่แรกด้านการรับพลังงาน E/I

ก่อนที่จะไปฟังความหมายของแต่ละตัวอักษรว่าคืออะไรคุณลองตอบคำถามตัวเองดูว่าคุณเป็นคนที่

1. เมื่อคุณรู้ตัวว่าต้องไปร่วมงานปาร์ตี้วันเกิดกับเพื่อนที่รู้จักกันไม่นานคุณคิดว่า

A. เรื่องงานสังสรรค์ถ้าไม่ติดอะไรก็ต้องไปด้วยอยู่แล้วคนคุ้นเคยกัน เชิญมาก็ต้องไปแน่นอน

B. ไม่อยากไปเลย ไม่ได้รู้จักขนาดนั้น และก็เกรงใจคนชวนด้วยไปก็ได้

2. เมื่ออยู่ในกลุ่มของเพื่อน คุณชอบที่จะ

A. เป็นจุดสนใจ และเป็นจุดเด่นภายในกลุ่ม

B. เป็นคนๆหนึ่งที่คอยรับฟัง และสังเกตความเป็นไปของเพื่อนรอบข้าง

3. เมื่อคุณต้องอยู่กับกลุ่มคนเป็นจำนวนมากคุณรู้สึกว่า

A. ไม่ได้มีปัญหาอะไร การที่มีเสียงจอแจบ้างทำให้บรรยากาศดูครึกครื้น

B. เอะอะ โวยวาย เสียงดัง อยากจะให้อยู่ในความสงบเงียบๆมากกว่า

ถ้าข้อ A มากกว่า B แสดงว่าคุณคือ Extravert

ถ้าข้อ B มากกว่า A แสดงว่าคุณคือ Introvert

E ย่อมาจากคำว่า Extrovert คือ บุคคลที่ได้รับพลังงานจากภายนอก

กล่าวคือเป็นบุคคลที่สนใจโลกภายนอก เช่นผู้คน สิ่งแวดล้อม ได้รับแรงกระตุ้นหรือพลังงานจากการมีปฏิสัมพันธ์

I ย่อมาจากคำว่า Introvert คือ บุคคลที่ได้รับพลังงานจากภายใน

กล่าวคือเป็นบุคคลที่ชอบอยู่กับตนเอง การสะท้อนหรือครุ่นคิดในสิ่งที่ผ่านมาจะทำให้เกิดพลังงานมากขึ้น

สำหรับอักษรคู่ที่สอง ด้านการรับรู้ข้อมูล

ก่อนที่จะไปฟังความหมายของแต่ละตัวอักษรว่าคืออะไรคุณลองตอบคำถามตัวเองดูว่าคุณเป็นคนที่

1. คุณเชื่อถือคนที่

A. สามารถทำในจริงในสิ่งที่พูดได้

B. มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าฉีกตัวเองออกจากกรอบ

2. คุณให้ความสำคัญอะไรมากกว่ากันระหว่าง

A. ปัจจุบัน

B. อนาคต

3. เมื่อคุยการทำโปรเจคต่างๆคุณมักจะ

A. คุยทั้งทีต้องลงรายละเอียดให้ครบว่าจะทำอะไรบ้าง

B. คุยแค่รวมๆ เป็นแค่ภาพรวมก็พอ แล้วให้แต่ละคนไปทำกันเอง

ถ้าข้อ A มากกว่า B แสดงว่าคุณคือ Sensing

ถ้าข้อ B มากกว่า A แสดงว่าคุณคือ iNtuitive

S ย่อมาจากคำว่า Sensing คือ การรับรู้ข้อมูลจากประสาทสัมผัส

กล่าวคือเป็นบุคคลที่ให้ความสำคัญกับข้อเท็จจริง ประสบการณ์ หรือสิ่งที่สามารถจับต้องได้ วัดผลได้

N ย่อมาจากคำว่า Intuitive คือ การรับรู้ข้อมูลจากสัญชาตญาณ

กล่าวคือเป็นบุคคลที่ให้ความสำคัญกับภาพกว้าง การเชื่อมโยงและการให้ความหมายกับสิ่งใหม่ๆรอบตัว

สำหรับอักษรคู่ที่สาม เป็นการวัดว่าโดยปกติแล้วคุณเลือกที่จะตัดสินใจด้วยอะไร

ก่อนที่จะไปฟังความหมายของแต่ละตัวอักษรว่าคืออะไรคุณลองตอบคำถามตัวเองดูว่าคุณเป็นคนที่

1. เมื่อต้องตัดสินใจอะไรสักอย่างคุณให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากันระหว่าง

A. ความถูกต้องยุติธรรม

B. ความสัมพันธ์

2. คนอื่นๆบอกว่าคุณเป็นคนที่

A. ใจแข็ง

B. ใจอ่อน

3. เมื่ออยู่ในภาวะที่คนทะเลาะกันคุณเลือกที่จะ

A. คุยกันตรงๆเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วจะเอายังไง

B. ประนีประนอม หาความปรองดอง

ถ้าข้อ A มากกว่า B แสดงว่าคุณคือ Thinking

ถ้าข้อ B มากกว่า A แสดงว่าคุณคือ Feeling

T ย่อมาจากคำว่า Thinking คือ การตัดสินข้อมูลจากเหตุและผล

กล่าวคือเป็นบุคคลที่ให้ความสำคัญกับเหตุและผล หลักการ การวิเคราะห์ที่น่าเชื่อถือ สิ่งที่ควรเป็นไป

F ย่อมาจากคำว่า Feeling คือ การตัดสินข้อมูลจากคุณค่าด้านความเป็นบุคคล

กล่าวคือเป็นบุคคลที่ให้ความสำคัญเรื่องของจิตใจ ความสัมพันธ์ ความรู้สึก และคุณค่าของความเป็นคนของแต่ละคน

สำหรับอักษรคู่ที่สี่ เป็นการวัดว่าโดยปกติคุณมีปฎิกิริยากับโลกภายนอกอย่างไร

ก่อนที่จะไปฟังความหมายของแต่ละตัวอักษรว่าคืออะไรคุณลองตอบคำถามตัวเองดูว่าคุณเป็นคนที่

1. คุณชอบที่จะ

A. วางแผนก่อนที่จะทำอะไร

B. ลองทำไปเลย ณ ตอนนั้นไม่ต้องคิดมาก

2. พลังในการทำงานคุณจะมากช่วงไหนของการทำงาน

A. ช่วงแรก

B. ช่วงใกล้จบ

3. คนอื่นบอกว่าคุณเป็นคนที่

A. เจ้าวางแผน เข้มงวด

B. สบายๆ

ถ้าข้อ A. มากกว่า B. แสดงว่าคุณคือ Judging

ถ้าข้อ B. มากกว่า A. แสดงว่าคุณคือ Perceiving

J ย่อมาจากคำว่า Judging คือ กลุ่มบุคคลที่ชอบตัดสินใจ

กล่าวคือเป็นบุคคลที่ใช้ชีวิตโดยการวางแผน ตัดสินใจ และทำตามแผนที่ได้วางไว้

P ย่อมาจากคำว่า Perceiving คือ กลุ่มบุคคลที่ชอบความยืดหยุ่น สบายๆ

กล่าวคือเป็นบุคคลที่ใช้ชีวิตแบบสบายๆ มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรับการเปลี่ยนแปลงได้ดี

อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงคำถามบางส่วนที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเฉยๆ แต่ถ้าจะให้แน่ใจว่าคุณเป็นคนไทป์ไหน ให้เข้าไปทำแบบทดสอบ MBTI ในลิงค์ที่ณัฏฐ์เคยแชร์ไว้ในบทความก่อนหน้านี้ดูนะคะ และเลือกคำตอบที่ถูกต้องและตรงไปตรงมากับคุณมากที่สุด เพื่อที่จะได้ผลทดสอบออกมาตรงกับตัวคุณมากที่สุดค่ะ

หากใครมีพื้นฐานภาษาอังกฤษ อยากให้ลองเข้าไปทำแบบทดสอบ MBTI version ภาษาอังกฤษ http://www.16personalities.com/ ควบคู่ไปด้วย จะได้นำมาเปรียบเทียบว่าตรงกันกับ MBTI version ภาษาไทยมั้ย

Credit photos: Strategicpath